ในปัจจุบันมีแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมเกิดขึ้นมากมาย และในหลายแพลตฟอร์มก็มักจะมีฟีเจอร์ขายของ หรือตระกร้าให้เราหยิบสินค้าเพื่อชำระเงิน ทำให้เกิดประโยชน์ทั้งด้านของผู้ขาย และผู้บริโภค
แต่สำหรับปี 2025 มีกูรูหลายคนออกมาบอกว่า “การทำนายหน้าขายของ” จะไม่สามารถทำได้แล้วในอนาคต รวมถึงสินค้าต่างๆ “รายใหญ่” จะลงมาเล่นเองในแพลตฟอร์มต่างๆ แล้วแบบนี้เราจะขายของจากช่องทางไหนดี?
ก่อนอื่นเราไปดูกันก่อนดีกว่าว่า “ช่องทางขายของ” ช่องทางไหนได้รับความนิยมมากที่สุด
1. Shopee และ Lazada (ตลาดออนไลน์หลักในประเทศไทย)
- ข้อดี:
- มีฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่และเป็นที่นิยมในประเทศไทย.
- มีระบบจัดการร้านค้าและการชำระเงินที่สะดวก.
- มีโปรโมชันและการโฆษณาในแพลตฟอร์มช่วยดึงดูดลูกค้า.
- เหมาะสำหรับสินค้าแบบ Mass Market ที่ต้องการฐานลูกค้ากว้าง.
- ข้อเสีย:
- ค่าใช้จ่ายสำหรับการโปรโมตสินค้าหรือการโฆษณาภายในแพลตฟอร์ม.
- มีการแข่งขันสูงจากผู้ขายจำนวนมาก.
2. Facebook Marketplace และ Facebook Shops
- ข้อดี:
- เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในประเทศไทยได้ง่ายเพราะมีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก.
- ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการลงประกาศสินค้า.
- ใช้งานได้ฟรี หากคุณมีฐานลูกค้าจากการทำ Facebook Page แล้ว สามารถใช้ได้เลย.
- สามารถใช้ Facebook Ads เพิ่มการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้.
- ข้อเสีย:
- ระบบการจัดการสินค้าค่อนข้างเรียบง่าย แต่มีข้อจำกัดในการจัดการจำนวนสินค้าขนาดใหญ่.
- ไม่เหมาะกับสินค้าหรือแบรนด์ที่ต้องการภาพลักษณ์ที่หรูหรา.
3. Instagram
- ข้อดี:
- เหมาะสำหรับสินค้าที่มีภาพลักษณ์ดี เช่น เสื้อผ้า, เครื่องสำอาง, เครื่องประดับ.
- มีฟีเจอร์ Instagram Shopping ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าผ่านโพสต์ได้.
- มีระบบแฮชแท็กที่ช่วยเพิ่มการค้นพบจากกลุ่มเป้าหมาย.
- ข้อเสีย:
- ต้องมีการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและภาพที่ดึงดูด.
- ไม่เหมาะกับสินค้าที่ซับซ้อนหรือราคาสูง.
4. LINE OA (Official Account)
- ข้อดี:
- ใช้งานง่ายและสามารถสื่อสารกับลูกค้าผ่านแชทได้ทันที.
- เหมาะกับการขายสินค้าต่อเนื่องหรือสินค้าที่มีลูกค้าประจำ.
- สามารถส่งโปรโมชั่นและข่าวสารให้ลูกค้าผ่าน LINE Broadcast ได้.
- ข้อเสีย:
- ต้องใช้เวลาสร้างฐานลูกค้าจำนวนมาก.
- การโปรโมทใน LINE OA อาจต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงเมื่อมีการขยายการเข้าถึง.
5. TikTok Shop
- ข้อดี:
- ตอบโจทย์กลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่.
- สามารถโปรโมตสินค้าได้แบบสร้างสรรค์และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็วผ่านการสร้างคลิปวิดีโอที่น่าสนใจ.
- TikTok Ads มีฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงสินค้าให้ได้มากขึ้น.
- ข้อเสีย:
- จำเป็นต้องมีคอนเทนต์ที่สนุกสนานและดึงดูดใจ ซึ่งอาจต้องลงทุนในการผลิตวิดีโอ.
- อาจไม่เหมาะกับสินค้าที่เป็นสินค้าหรือบริการที่มีความเป็นทางการ.
6. Website หรือ E-commerce Platform ส่วนตัว
- ข้อดี:
- สามารถควบคุมการออกแบบและการขายได้อย่างเต็มที่.
- ไม่มีการแบ่งกำไรหรือค่าธรรมเนียมที่จ่ายให้แพลตฟอร์ม.
- ลูกค้าสามารถเข้าชมสินค้าและซื้อได้ตามสะดวก 24/7.
- ข้อเสีย:
- ต้องลงทุนในเรื่องของการทำการตลาด เช่น Google Ads, SEO หรือ Facebook Ads.
- ต้องมีการดูแลรักษาเว็บไซต์และระบบชำระเงินอย่างต่อเนื่อง.
ทั้ง 6 หัวข้อเลือกอันไหนดีที่สุด
ต้องบอกว่า “การลงขายทุกช่องทาง” คือทางเลือกที่ดีที่สุดครับ เพราะเราจะสามารถเข้าทุกลูกค้าได้ทุกช่องทางครับ แต่ก็ตองบอกว่า อาจจะต้องใช้ทรัพยากรที่มากขึ้นเช่นกัน รวมถึงการจัดการที่ทั่วถึงอีกด้วย
ถ้าสามารถเลือกได้เพียง 2 ช่องทางเลือกแบบไหนดี?
สิ่งแรกเลยคือ Shopee หรือ Lazada ครับ เพราะว่า ทั้งสองแพลตฟอร์มมี
- ฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ และเป็นที่นิยมมากในประเทศไทย
- ไม่ต้องลงทุนสูง สามารถเริ่มขายได้ทันทีและมี
- ระบบจัดการร้านค้าครบครัน เช่น การจัดการคำสั่งซื้อ, การชำระเงิน, การจัดส่ง
- โปรโมชันและการโฆษณา บนแพลตฟอร์มเหล่านี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย
- เหมาะสำหรับ สินค้าหลายประเภท โดยเฉพาะสินค้าทั่วไปที่มีลูกค้าจำนวนมาก
ไม่ว่าใครในประเทศไทยเวลาหาของก็ต้องเข้า 2 แอปนี้แหละครับ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในปี 2025 แต่ถ้าอยากให้ครบเครื่องมากขึ้น แนะนำว่า ลงขายใน Tiktok ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลยครับ
เมื่อได้กำไรแล้ว ก็อย่าลืมแวะเข้ามาซื้อหวยต่างประเทศกับเรานะครับ เราเป็นแพลตฟอร์มซื้อหวยต่างประเทศ แต่ก็มีหวยไทยด้วยนะ ให้อัตราจ่ายสูงที่สุดในประเทศไทยเลย บาทละ 98 บาทครับ : สามารถเข้ามาส่องก่อนได้ที่ : โกลบอลล็อตโตครับ